วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

ใบไม้ที่หายไป ตอนปณิธานหนุ่มสาว

ปณิธานหนุ่มสาว 
จิรนันท์ พิตรปรีชา

เบื้องหน้าคือหญิงสาว
พลิ้วอาภรณ์สีขาว ไร้เดียงสา
มีดวงดาววาวใสในแววตา
โปรยประกายปรารถนาเป็นดอกไม้

เธออ่านนิยายใฝ่ฝัน
สงสัยค่ายุติธรรมหายไปไหน
การต่อสู้เพื่อสิ่งนี้จะมีใคร
เธอก้าวไปค้นความจริง(อิงนิยาย)

เขาคือชายหนุ่ม
ร้อนรุ่มแกร่งกล้าหาความหมาย
โดยยึดมั่นการต่อสู้ลูกผู้ชาย
ท้าทายภัยผองโลกหมองมัว

เขาตะโกนสุดเสียง
ถกเถียงหยันหยามความชั่ว
ชายหนุ่มวิ่งสวนทางกับความกลัว
เพื่อพบตัวมีค่าน่าพอใจ

ชายหนุ่มกับหญิงสาว
จูงมือกันก้าวสู่หนไหน
เพียงหลงทางที่ไม่มีทางไป
หรือสร้างสรรค์บันไดไกลถึงฟ้า

......
นี่คือคำตอบ
"
ชีวิตที่มอบไว้แก้ปัญหา
ต้องสู้ ต้องทำ รับคำท้า
เบื้องหน้าคืออะไรไม่พรั่นเลย" 



ใบไม้ที่หายไป จิระนันท์ พิตรปรีชา

สะท้อนความคิดหนุ่มสาวสมัยนั้นได้ดีมาก 

ใบไม้ที่หายไป ตอนอหังการของดอกไม้

อหังการของดอกไม้

สตรีมีสองมือ
มั่นยึดถือในแก่นสาร
เกลียวเอ็นจักเป็นงาน
มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ

สตรีมีสองตีน 
ไว้ป่ายปืนความใฝ่ฝัน
ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน 
มิหมายมั่นกินแรงใคร

สตรีมีดวงตา
เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล 
มิใช่คอยชม้อยชวน

สตรีมีดวงใจ 
เป็นดวงไฟไม่ผันผวน
สร้างสมพลังมวล
ด้วยเธอล้วนก็คือคน

สตรีมีชีวิต
ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน
มิใช่ปรนกามารมณ์

ดอกไม้มีหนามแหลม 
มิใช่แย้มคอยคนชม
บานไว้เพื่อสะสม 
ความอุดมแห่งผืนดิน !

ประชาธิปไตย ๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๖


ใบไม้ที่หายไป


One moment in time

One moment in time

Artist : Whitney Houston
แปลเพลง : ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

Each day I live I want to be a day to give the best of me  
ทุกวันที่ฉันยังมีชีวิตอยู่  ฉันปรารถนาให้เป็นวันที่ฉันได้ให้สิ่งที่ดีที่สุด  ทำในสิ่งที่ดีที่สุด (  เป็นประโยชน์ เป็นกุศล ไม่มีโทษ)

 I'm only one, but not alone 
ฉันคนเดียวเท่านั้น ก็จริงอยู่  แต่ ไม่ได้มีฉันตามลำพัง 

My finest day is yet unknown 
วันสำคัญที่สุด เจ๋งสุดของฉัน ยังไม่รู้จะเป็นวันไหน (แต่มีแน่ๆ เชื่อ เหอะ)

I broke my heart for ev'ry gain 
ฉันเจ็บปวดใจ ก็เพื่อ กำไร  ( หัวใจแกร่งขึ้น  สติมีกำลังมากขึ้น)

To taste the sweet, I faced the painI rise and fall,  
เพื่อรับรสชาติของเหงื่อที่หลั่งไหล  ฉันต้องผ่านความเจ็บปวด   ที่มีทั้งดีและร้าย ทั้งขาขึ้น ขาลง 

yet through it all this much remainsI was  
แต่ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน  (กำไรเหล่านี้ หัวใจที่แกร่งนี้  กำลังสติมากขึ้นนี้) มันก็ยังคงอยู่กับฉัน 

***  One moment in time 
เสี้ยวหนึ่งของเวลา    แว่บเดียวของเวลา 

When I'm more than I thought I could be 
เมื่อ ฉันเป็นได้มากกว่าที่ฉันคิด ว่าฉันควรเป็น 

When all of my dreams are a heart beat away   
และแล้ว  ความฝันทั้งปวงของฉัน ก็ขึ้นอยู่แค่ ชั่วเวลา หัวใจเต้น ตูมเดียว นี่เอง   

 And the answers are all up to me 
ซึ่ง คำตอบทั้งมวลนี้   ก็ อยู่ที่ตัวของฉันนี้เอง  

Give me one moment in time   
ขอฉันแค่ "ชั่วเวลานิดเดียว" นี้ 

When I'm racing with destiny  
เมื่อฉันกำลังแข่งกับโชคชะตาของฉัน 

Then in that on moment of time I will feel, I will feel eternity  
และในห้วงเวลาน้อยนิดนี้    แว่บเดียวนี้  ฉันรู้สึกว่า มัน _ มันราวกับจะเป็นชั่วนิรันดร์กาล  ( ถ้าแพ้ไม่เป็น ก็ทุกข์นาน  ถ้าชนะไม่เป็น ก็หลงตนเอง ไปนานเช่นกัน) 

I will live to be the very best
ฉันจะอยู่กับ สิ่งที่ดีที่สุด (  หมายถึง ความพยายาม คงามตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุด ในทุกเรื่องราวที่ดีๆ ที่สมควรทำ)  

I want it all, no time for less 
ฉันต้องการทำสิ่งที่ดีๆเหล่านี้  ไม่มีการลดหย่อน  ไม่มีการเสียเวลาอีกแล้ว 

I've laid the plans 
ฉันวางแผนชีวิตของฉันแล้ว  (เอามรรค มี องค์ ๘  เป็น แผนของชีวิต)

Now lay the chance here in my hands   
ณ ตอนนี้   โอกาสอยู่ในมือของฉันแล้ว ฉันจะกำหนดมันด้วยตัวของฉันเอง 

*** Give me .......  


chorus

You're a winner for a lifetime  
เรา เป็นผู้ชนะคนหนึ่ง   ในช่วงชีวิตของเรา 

If you seize   
ถ้าเราคว้าจับช่วงเวลานี้เอาไว้    ( ในฐานะที่เรา เป็นผู้ชนะ  ไม่ใช่ผู้แพ้    เราเกิดมาแล้ว  ในช่วงชีวิตของเรานี้แหละ  อย่าคิดว่าเราเป็นผู้แพ้)

that one moment in timeMake it shine 
 ขอให้ ช่วงเวลาสำคัญแห่งชีวิตนี้   โชติช่วงขึ้นมา 

***  Give me .... 

I will be free 
ฉันจะรู้สึกอิสระ โล่ง โปร่ง สบาย    

คอมเมนท์ของอาจารย์ประกอบการฟังเพลงนี้ 

ไม่แปลตรงๆ เพราะ เพลงเป็นศิลปะ จึงแปลตรงๆได้ลำบาก แต่ ต้องใช้ ใจที่ "สงบ" จะฟังเพลงได้ เพราะ กว่า ใช้ "หู" ฟังเพียงอย่างเดียว
เพลงนี้แฝงปรัชญาชีวิต เอาไว้ด้วย

(1) คำว่า ช่วงเวลาหนึ่ง (Moment in time) "แว่บเดียวของเวลา" เราอาจจะนึกถึง ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 10 วินาทีในการแข่งวิ่ง 100 เมตร แต่ หลังจากนั้น ช่วงเวลา อาจจะเป็น ความระทม ของ ผู้แพ้ไป อีก หลาย 10 ปี แต่ สำหรับ คนที่แพ้เป็น อาจจะหมายถึง ช่วงเวลาที่ดีที่สุด การรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย การเชื่อว่าได้ทำเต็มที่แล้ว ความยินดีในความสำเร็จของผู้อื่น คนที่เขาชนะเรา (เรียกว่า มุทิตา) กลับทำให้เราได้พบอิสระ (พ้นทุกข์) ได้ แต่ คนแพ้ไม่เป็น ก็ทุกข์ต่อไป เพลงนี้ เขาบอกเราว่า เราทุกคน คือ ผู้ชนะ ชนะใจตนเอง สามารถยินดีกับผู้ชนะได้ กีฬามีเพื่อทำให้ใจเราแกร่ง ไม่ใช่สะสมความแค้น

(2)  ผู้ชนะมีคนเดียว ผู้แพ้มีหลายคน แต่เราก็ทำดีที่สุด การแข่งกีฬา คือ ไม่ต้องโกง ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องอิจฉา รักคู่แข่ง มีน้ำใจนักกีฬา ยินดีที่เขาชนะ ใจแกร่งขึ้นเมื่อแพ้ เมือชนะก็ไม่ติดดี ไม่ข่ม ไม่เย่อหยิ่ง ขอบคุณคู่แข่ง ที่ทำให้เราได้เห็นตนเอง เห็นปิศาจที่ชวนเราให้อิจฉา ชวนเราให้แค้น ชวนเราให้อยากโกง ฯลฯ  ขอบคุณคู่แข่ง ที่ทำให้เราได้เห็น ความดี ด้วยเช่นกัน คือ รู้จักชื่นชม เดินเข้าไปจับมือ ส่งการ์ดแสดงความดีใจ มอบดอกไม้ให้ รู้จักให้อภัย ให้กำลังใจทุกคนนะ

(3) เรา คือ นักกีฬามืออาชีพ   เรามี เวลาแค่ Moment in Time  เราทุกคนคือ ผู้ชนะ เราทำได้ เราคือผู้ที่ถูกเลือก

(4) I will be free คำว่า free หรือ freedom นี้ จะโดน โดนใจคนมะกันมากๆ พวกเขารัก

(5) เพลงเดียวกันนี้ คนหนึ่งเอาไปเป็นกำลังใจแข่งกีฬา แข่งทำงานก็ได้



Kimiga ireba sorede ii sorede ii ถ้ามีเธออยู่ที่นี่ คงจะดีไม่ใช่น้อย คงจะดีไม่น้อย

Nagai kami kakiageta yubisakiga
ยามมือเธอลูบไล้เส้นผมอันยาวสลวย 

Marude komorebi mitaini
เปรียบดังแสดงลอดส่องผ่านใบไม้ แนบลงมาที่หน้าฉัน

Kono mune ni tokimeite mabushiine
 หัวใจเต้นแรง เคลิบเคลิ้มและซาบซึ้ง

Dakishimeta nukumorino omosadake
สิ่งนี้ทำให้หัวใจฉันเต้นแรง

Kono ude ni ima kanjitemitsumeau 
ฉันรู้สึกได้เมื่อถูกโอบกอด ด้วยแขนทั้งสองข้าง

hitomino naka ni 
และยังจดจำได้อยู่ในดวงตา

Kimi ga ireba sorede ii sorede ii
"ถ้ามีเธออยู่ที่นี่ คงจะดีไม่ใช่น้อย คงจะดีไม่น้อย

Shinji aeta nara
ฉันค้นพบ และเชื่อว่า

hokaniwa hoshikunai
ไม่ว่าจะอะไร จะสิ่งใด ฉันก็ไม่ต้องการ

Kimiga ireba sorede ii sorede ii
ขอมีเธออยู่ที่นี่ แค่นั้นพอ แค่นี้ก็เพียงพอ

Inochi no kagiri boku wa kimi wo 
ตราบเท่าที่คุณมีชีวิตอยู่

towani boku wa kim iwo aishitai
ผมจะรัก รักคุณ ตลอดไป

Yukkurito kuchibiruwo kasanereba
 จะบรรจงจูบลงอย่างช้าๆ

Kaze ni kotoba wo saraware         
คำพูดนี้จะล่องลอยไปตามสายลม 

Ishidatami hosoikage ugokenai
จากแสงเงาที่ทอดไปตามทาง 

Tasogare ga kuru mae ni mou ichido
ก่อนจะล่วงสู่ยามราตรี  อีกครั้งนึง 

Kagayaita toki atsumete
ก่อนตะวันจะฉายแสง

tojikomeru kioku no nakani
ในความทรงจำที่ยังมืดมิด

Ai ga areba sorede ii sorede ii
ถ้าเรารักกันคงจะดีไม่น้อย คงจะดีไม่ใช่น้อย 

Yume kara sametemo
ปลดปล่อยผมออกมาจากความฝัน 

mamotte agerukara
เพื่อที่จะมาปกป้อง

Ai ga areba sorede ii sorede ii
เรารักกันคงจะดีไม่น้อย คงจะดีไม่ใช่น้อย

Nani ga attemo boku wa kimiwo
ไม่ว่าจะเจออะไร ผมกับคุณจะ 

itsumo boku wa kimi wo
ไม่ว่าจะตอนไหน

hanasanai
ผมจะไม่แยกจากคุณ 

Kimiga ireba sorede ii sorede ii
ถ้ามีเธออยู่ที่นี่คงจะดีไม่น้อย เพียงแค่นั้น 

Soba ni iru dakede
คำพูดนี้จะล่อยลอยไปจากสายลม 

subete ga wakarukara
ถ้ามีเธออยู่ที่นี่คงจะดีไม่น้อย

Kimiga ireba sorede ii sorede ii
ถ้ามีเธออยู่ที่นี่คงจะดีไม่น้อย เพียงแค่นั้น 

Inochi no kagiri boku wa kimi wo
เพียงแค่นั้นตราบเท่าที่คุณมีชีวิตอยู่

towa ni boku wa kimi woaishitai  
ไม่ว่าจะเจออะไร ผมจะรักคุณ รักคุณ ตลอดไป


เอามาจาก http://pantip.com/topic/30960589 


เช็คและตราสารการเงิน

เช็ค   คือ ตราสารซึ่ง
(1)  บุคคลหนึ่งเรียกว่า  "ผู้สั่งจ่าย"  สั่งให้  
(2)  "ธนาคาร" 
(3)  - ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง
       - ให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง
       เรียกว่า "ผู้รับเงิน "

โดยเช็คเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารเงินสด เราสามารถจำแนกคู่สัญญาออกได้ดังนี้

1. ผู้สั่งจ่ายเช็ค (Drawer) คือเจ้าของบัญชีกระแสรายวันที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคาร ผู้เขียนสั่งจ่ายหรือออกเช็ค
2. ธนาคาร (Banker) คือธนาคารผู้รับฝากเงินประเภทกระแสรายวันที่ผู้สั่งจ่ายเช็คเปิดบัญชีไว้
3. ผู้รับเงิน (Payee) คือผู้มีสิทธิที่จะขึ้นเงินตามเช็คนั้นในฐานะผู้ทรง(Holder) ทั้งนี้ผู้ทรงอาจมีฐานะเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้รับเงินตามที่ปรากฎในเช็คนั้น หรืออาจเป็นผู้รับเงินในฐานะ ผู้รับสลักหลัง หรือในฐานะผู้ถือได้

องค์ประกอบของเช็ค
1.คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค
2.คำสั่งปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน
3. ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักของธนาคาร
4.ชื่อ หรือยี่ห้อของผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ
5.สถานที่ใช้เงิน
6.วันและสถานที่ออกเช็ค
7.ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

ประเภทของเช็ค

1.เช็คเงินสด หรือเช็คจ่ายผู้ถือ (Cash or bearer’s cheque) คือเช็คที่มีคำว่า เงินสด แทนชื่อผู้รับเงิน หรือเช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงินแต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ผู้ที่มีเช็คประเภทนี้สามารถนำเช็คไปเบิกเงินสดจากธนาคารได้ทันที ดังนั้นหากเจ้าของเช็คทำเช็คเงินสดสูญหาย ผู้ใดก็ตามที่เก็บเช็คเงินสดนั้นได้สามารถนำเช็คไปเบิกเงินสดกับธนาคารได้ เนื่องจากเช็คไม่ได้มีการขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ”

2. เช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงิน หรือเช็คจ่ายตามสั่ง (Order’s cheque) คือเช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” เช้คประเภทนี้ผู้ที่มีชื่อเป็นผู้รับเงินจะต้องนำเช็คนั้นไปเบิกธนาคารด้วยตัวเองและหากผู้รับเงินต้องการโอนเช็คให้ผู้อื่น ผู้รับเงินต้องทำการสลักหลังเช็คนั้นก่อน

3. แคชเชียร์เช็ค (Cashier’s cheque) คือเช็คที่บุคคลต้องนำเงินสดมาซื้อเช็คกับธนาคารแล้วธนาคารจะออกแคชเชียร์เช็คให้โดยคิดค่าธรรมเนียมด้วย และธนาคารจะเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้รับเงินตามที่ระบุไว้ในเช็คนั้น
*  แคชเชียร์เช็คต่างจากเช็คเงินสด
    เช็คเงินสดสั่งจ่ายจากบัญชีกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายซึ่งผู้รับเงินอาจจะไม่แน่ใจว่าในบัญชีของผู้สั่งจ่ายมีเงินพอจ่ายหรือไม่
** แต่แคชเชียร์เช็คบุคคลจะนำเงินสดไปซื้อแคชเชียร์เช็คกับธนาคารก่อนและธนาคารเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้รับเงิน ดังนั้นผู้รับแคชเชียร์เช็คจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับเงินแน่นอน

4. เช็คที่ธนาคารรับรอง คือเช็คที่บุคคลเขียนสั่งจ่ายแล้วให้ธนาคารรับรองการจ่ายเงินตามเช็คนั้น โดยธนาคารจะเขียนคำว่า “ใช้ได้” หรือ “รับรองจ่าย” หรือ “Good” ลงในเช็คพร้อมทั้งลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจของธนาคาร และธนาคารจะหักเงินออกจากบัญชีของผู้สั่งจ่ายทันที ซึ่งทำให้ผู้รับมั่นใจได้ว่า จะได้รับเงินแน่นอน ทั้งนี้ธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมในการรับรองเช็คด้วย

5. เช็คเดินทาง เป็นเช็คที่ผู้เดินทางนำหลักฐานการเดินทางมาขอซื้อเช็คเดินทางกับธนาคาร เช็คเดินทางจะช่วยให้ผู้เดินทางไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก เมื่อผู้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆสามารถใช้เช็คเดินทางขึ้นเงินสดจากธนาคารต่างๆ รวมทั้งสามารถใช้เช้คเดินทางชำระค่าสินค้าได้ในร้านค้าที่ยอมรับเช็คเดินทางนั้น

เช็คจะมี 2 ส่วนคือส่วนต้นขั้วและส่วนสำหรับผู้รับเงิน โดยส่วนต้นขั้วเป็นส่วนที่มีไว้ให้ผู้สั่งจ่ายบันทึกรายละเอียดการใช้จ่ายเงิน โดยมีรายละเอียดการจ่ายเงินดังนี้
  1. วันที่จ่าย
  2. ผู้รับเช็ค
  3. จำนวนเงินสั่งจ่าย
  4. ยอดคงเหลือในบัญชี
ในส่วนของผู้รับเงิน ผู้สั่งจ่ายจะต้องเขียนรายละเอียดให้ครบถ้วนตามคำแนะนำในการใช้เช็คที่มีในสมุดเช็คของธนาคารต่างๆ พร้อมทั้งลงลายมือชื่อ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคปลีกย่อยสำหรับการใช้เช็ค เช่น
การขีดคร่อมเช็ค หมายถึงการขีดเส้นคู่ขนานบนมุมซ้ายด้านหน้าของเช็ค โดยในการสั่งจ่ายเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายจะขีดคร่อมเช็ค หรือไม่ขีดคร่อมเช็คก็ได้

--  โดยกรณีที่ไม่ขีดคร่อมเช็ค ผู้ทรงเช็ค(ผู้ที่มีชื่อรับเงินตามเช็ค) สามารถนำเช็คไปขึ้นเงินสดได้เลย 
--  ในกรณีขีดคร่อมเช็คผู้ทรงเช็คจะไม่สามารถนำเช็คนั้นไปขึ้นเงินสดได้ทันที แต่จะต้องนำเช็คนั้นไปเข้าบัญชีเงินฝากของตนเองก่อนและต้องรอจนกว่าเช็คนั้นจะเรียกเก็บเงินได้จึงจะถอนเงินสดมาใช้ได้

โดยเช็คขีดคร่อมยังแบ่งออกได้อีก 2 ประเภทคือ


1.  เช็คขีดคร่อมทั่วไป (Cheque crossed generally) หมายถึงขีดเส้นคู่ขนานบนมุมซ้ายด้านหน้าเช็ค เช็คประเภทนี้ที่มีคำสั่งห้ามโอนเปลี่ยนมือจะมีคำดังต่อไปนี้

-   A/C Payee Only หมายถึงโอนเข้าบัญชีผู้รับเงินเท่านั้น
-   Not Transferable คือ ห้ามโอน
-   Not Negotiable คือห้ามเปลี่ยนมือ
2.  เช็คขีดคร่อมเฉพาะ (Cheque crossed specially) หมายถึงเช็คที่มีการลงชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งภายในระหว่างเส้นคู่ขนานบนหน้าเช็คนั้น ผู้ทรงเช้คจะต้องนำเช็คประเภทขีดคร่อมเฉพาะไปฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนและบัญชีเงินฝากนั้นต้องเป็นบัญชีเงินฝากของธนาคารที่ระบุไว้ในเส้นคู่ขนานที่ขีดคร่อมหน้าเช็คเท่านั้น
การสลักหลังเช็ค หมายถึง  การลงชื่อของผู้ทรงเช็คไว้ด้านหลังของเช็ค เพื่อที่จะโอนเช็คให้กับบุคคลอื่น โดยการสลักหลังเช็คมี 2 ลักษณะคือ


1.  การสลักหลังลอย เป็นการลงลายมือชื่อของผู้ทรงไว้ด้านหลังเช็คโดยไม่มีข้อความใดๆเพิ่มเติม การสลักหลังแบบนี้จะมีความเสี่ยงสูงเนื่องจากหากเช็คเกิดการสูญหายผู้ที่เก็บเช็คได้จะสามารถนำเช็คไปเบิกเงินกับธนาคารได้
2.  การสลักหลังเฉพาะ เป็นการลงลายมือชื่อของผู้ทรงด้านหลังเช็คพร้อมทั้งเชียนข้อความที่ระบุเงื่อนไขการจ่ายเงิน เช่น นำเข้าบัญชี นาย ก คนดี เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่สามารถนำเช็คไปเบิกเงินกับธนาคารได้คือผู้ที่มีชื่อตามข้อความตามเงื่อนไขเท่านั้น

ปัจจุบันนิยมใช้ตราสารการเงินอยู่ 3 แบบคือ (ไม่ค่อยนิยมใช้เช็คเท่าไหร่แล้ว)
-cashier's cheque (c/o)
-demand draft (d/d) 
-gift cheque (g/c)

1.cashier's cheque (c/o)  วัตถุประสงค์การใช้คือ เพื่อสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินที่มีการระบุชื่อชัดเจน และใช้ขึ้นเงินในเขต Clearing เดียวกัน
- รูปแบบของ c/o เป็นเช็คจ่ายตามคำสั่ง (order cheque) นั่นหมายถึง ต้องระบุชื่อว่าจะต้องการสั่งจ่ายเงินให้ใคร (จ่ายให้ตัวเองก็ได้) ห้ามสั่งจ่าย "เงินสด" เด็ดขาด
- ส่วนจะขีดคร่อมหรือไม่ขีดคร่อมก็ได้
- ค่าธรรมเนียม c/o ฉบับละ 20 บาท จะซื้อ c/o ราคา 10 ล้านบาท หรือราคา 10 บาท ค่าธรรมเนียมก็ 20 บาทเหมือนกันการขึ้นเงินตาม c/o นั้น ผู้มีสิทธิ์(หรือผู้ที่มีชื่อบนหน้า c/o นั่นแหละ) จะต้องขึ้นเงินกับสาขาของธนาคารที่อยู่ในเขต Clearing (หรือเขตจังหวัดเดียวกัน) ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
* แต่ถ้าไปขึ้นเงินในต่างจังหวัดจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเช็คต่างจังหวัดอีก 0.2% ของจำนวนเงินบนหน้าเช็ค
(หมายเหตุ.- บางจังหวัดมี 2 เขต Clearing เช่นอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร กรุณาสอบถามพนักงานก่อนขึ้นเงินตาม c/o)

2. demand draft (d/d)รูปแบบเหมือน c/o ทุกประการ แต่วัตถุประสงค์ เพื่อใช้ขึ้นเงินในต่างจังหวัด (หรือต่างเขต Clearing) กับสาขาที่ออก d/d นั้น
เช่น หากอยู่ที่ตจว.ต้องการไปซื้อรถที่ กทม.ไม่ต้องการหอบเงินสดไป หรือไปถอนเงินต่างสาขาที่ กทม.เพราะค่าธรรมเนียมแพง (สูงสุด 1,020 บาท)
- ค่าธรรมเนียม d/d จะแปรผันตามจำนวนเงินที่สั่งซื้อ โดยจะเริ่มที่ หนึ่งหมื่นบาทแรก คิดค่าธรรมเนียม 10 บาท และหมื่นต่อๆ ไป คิดค่าธรรมเนียมหมื่นละ5 บาท (แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าปรับราคาแล้วหรือยัง)

3. gift cheque (g/c)คือเช็คของขวัญ ใช้เนื่องในโอกาสที่จะมอบเงินให้แก่ผู้รับในวาระพิเศษ
- เช่น วันเกิด แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น (เช็คสำหรับงานศพก็มี)
- ค่าธรรมเนียมฉบับละ 15 บาท รูปแบบของ g/c เป็นเช็คผู้ถือ (bearer cheque) นั่นคือที่ถือเช็คสามารถสั่งจ่าย "เงินสด" ได้ทันที
- สำหรับการขึ้นเงินg/c นี้เหมือนกับ c/o คือใช้ขึ้นเงินในเขตจังหวัดเดียวกันกับสาขาที่ออกเช็ค แต่ถ้าไปขึ้นเงินต่างจังหวัด ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียม 0.2% เหมือนกัน

ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ ซื้อ c/o แล้วนำไปใช้ขึ้นเงินในต่างจังหวัด ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมเช็คเรียกเก็บอีกครั้งหนึ่ง 

***ค่าธรรมเนียม c/o กับ d/d 

1. ต้องการซื้อตราสารราคา 10,000 บาท เพื่อจะจ่ายเงินให้กับผู้รับซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน 
c/o จะเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท
d/d เสียแค่ 10 บาท

2. ซื้อตราสารราคา 10,000 บาท เพื่อจะจ่ายเงินให้กับผู้รับอยู่ต่างจังหวัด
c/o จะเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท + ค่าธรรมเนียมเช็คต่างจังหวัด (0.2%) 20 บาท รวม 40 บาทซื้อ d/d เสียแค่ 10 บาท

3. ซื้อตราสารราคา 100,000 บาท เพื่อจะจ่ายเงินให้กับผู้รับซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกัน
ซื้อ c/o จะเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท
ซื้อ d/d เสีย 55 บาท

3. ซื้อตราสารราคา 100,000 บาท เพื่อจะจ่ายเงินให้กับผู้รับอยู่ต่างจังหวัด
c/o จะเสียค่าธรรมเนียม 20 บาท + ค่าธรรมเนียมเช็คต่างจังหวัด (0.2%) 200 บาท รวม 220 บาท
d/d เสีย 55 บาท

ป.ล. ข้อมูลเอาจากหลายๆเวปรวมกัน ทั้งพันทิพ แล้วก้อเวปของอาจารย์ จำไม่ได้ ขออภัยด้วยค่ะ